ขับเคลื่อนโดย Blogger.

RSS

1.กำเนิดของจักรวาล ระบบสุริยะ และโลก

เป็นเวลานานมาแล้วที่มนุษย์มีข้อสงสัยถึงจุดกำเนิด สาเหตุของการเกิดของโลก รวมถึงมหาสมุทรและสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในโลกว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร จนเมื่อประมาณ 50 ปีที่ผ่านมานักวิทยาศาสตร์ได้เริ่มนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาใช้ทดสอบอายุของมหาสมุทร, โลก และจักรวาล หลังจากนั้นจึงได้มีการตั้งสมมติฐานเพื่ออธิบายการก่อกำเนิดของสิ่งต่าง ๆ ในจักรวาล ดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ รวมถึง สาเหตุที่เกิดการรวมกลุ่มของดาวเคราะห์รอบดาวฤกษ์ ซึ่งบางสมมติฐานก็ถูกปฏิเสธเมื่อมีการค้นพบข้อเท็จจริงใหม่ ๆ จากการค้นคว้าโดยเครื่องมือ และเทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทางฟิสิกส์หรือชีวโมเลกุล
นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่าจักรวาลมีอายุอยู่ในช่วงระหว่าง 10-20 พันล้านปี
สำหรับสมมติฐานเกี่ยวกับการกำเนิดของจักรวาลที่ได้รับการยอมรับที่สุดในปัจจุบันก็คือ สมมติฐานเกี่ยวกับการระเบิดครั้งใหญ่หรือ Big Bang ซึ่งเสนอขึ้นมาครั้งแรกในปี ค.ศ. 1929 และได้รับการปรับปรุงในปี ค.ศ. 1965 โดย A.A. Penzias และ R.W. Wilson


สมมติฐาน ดังกล่าวอธิบายว่าเดิมดาวเคราะห์ทั้งหมดในสุริยจักรวาลและดวงอาทิตย์รวมตัว กันเป็นกลุ่มของมวลสารและก๊าซขนาดใหญ่ โดยมีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดเท่าวงโคจรของดาวอังคารในปัจจุบัน ต่อมาได้มีการระเบิดครั้งใหญ่เกิดขึ้นโดยยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด หลังจากนั้นจึงมีขบวนการต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดจักรวาลตามมา 


1.1 Galaxies and stars
Galaxy ประกอบด้วยกลุ่มของดาวฤกษ์รวมทั้งก๊าซ และฝุ่นละอองต่าง ๆ ที่หมุนอยู่รอบจุดศูนย์กลางทั้งหมดอยู่รวมกันได้โดยอาศัยแรงโน้มถ่วง galaxy ทั้งหมดที่มีอยู่ในจักรวาลสันนิษฐานว่ามีประมาณ 50 พันล้าน galaxy โดย galaxy ที่เราอาศัยอยู่เรียกว่า ทางช้างเผือก (Milky Way galaxy) ดาว ฤกษ์ที่มีอยู่มากมายใน galaxy จะรวมตัวกันโดยมีรูปร่างคล้ายกังหัน (spiral arm) และส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มก๊าซทรงกลมที่ลุกโชติช่วงอยู่ตลอดเวลา ระยะห่างระหว่างดาวฤกษ์แต่ละดวงไกลมาก ดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ของเรามากที่สุดมีระยะทางถึง 42 ล้านล้านกิโลเมตร นักดาราศาสตร์พบว่าในจักรวาลจะมี galaxy เป็นจำนวนมาก และดาวฤกษ์ในทางช้างเผือกก็มีเป็นจำนวนมากเช่นเดียวกันเทียบได้กับดาวฤกษ์ หนึ่งดวงใน galaxy ของเราเป็นเพียงเม็ดทรายเม็ดหนึ่งในหาดทรายเท่านั้น
ดวงอาทิตย์ก็เป็นดาวฤกษ์ดวงหนึ่งที่มีกลุ่มของดาวเคราะห์มาโคจรล้อมรอบเรียกกันว่า ระบบสุริยะ (Solar system) ซึ่งตั้งอยู่เป็นระยะทางประมาณ 3 ใน 4 จากจุดศูนย์กลางของทางช้างเผือก ส่วนของแขนที่เราอาศัยอยู่เรียกว่า Orion arm (ภาพที่ 2.1)
ภาพที่ 2.1 Milky Way galaxy จุดที่เป็นเครื่องหมายกากบาทคือตำแหน่งของระบบสุริยะ
ที่มา: Garrison (2007)

1.2 The Origin of the Sun
ในส่วนของการเกิดดวงอาทิตย์ภายหลังการระเบิดครั้งใหญ่ นักดาราศาสตร์ส่วนใหญ่ในปัจจุบันยอมรับในทฤษฎี Gravitational collapse theory หรือบางครั้งเรียกกันว่า nebula theory หรือ dust-cloud theory ซึ่งตามทฤษฎีดังกล่าวดาวฤกษ์ต่าง ๆ รวมทั้งดวงอาทิตย์ จะก่อตัวในแบบเดียวกันและบางครั้งดาวเคราะห์ก็จะเกิดจากการสร้างตัวของดาว ฤกษ์ด้วยเช่นกัน ในระหว่างดาวฤกษ์ต่างๆประมาณร้อยละ 99 จะประกอบด้วยกลุ่มก๊าซไฮโดรเจนและฮีเลียม เรียกว่า nebulae (ภาษาละตินหมายถึงเมฆหรือหมอก) ต่อมา nebulae นี้เกิดการรวมตัวกันเนื่องมาจากแรงโน้มถ่วง ซึ่งจะมากกว่ามวลของดวงอาทิตย์ปัจจุบันเล็กน้อย (ประมาณ 2x1027ตัน) เมื่อกลุ่มก๊าซรวมตัวกันมีความหนาแน่นเพิ่มขึ้น อัตราการหมุนของกลุ่มก๊าซดังกล่าวก็จะเพิ่มขึ้นด้วยทำให้กลุ่มก๊าซมีรูปทรง แบนเรียบและส่วนใหญ่จะรวมกันที่จุดศูนย์กลาง ซึ่งกลายเป็นดวงอาทิตย์ในเวลาต่อมา ส่วนที่เหลือของกลุ่มก๊าซจะมีลักษณะเหมือนจานทรงกลมหมุนรอบจุดศูนย์กลาง และเกิดการรวมตัวกันเป็นดาวเคราะห์ต่าง ๆ ดวงอาทิตย์ในระยะเริ่มก่อกำเนิดนั้นเรียกว่า protosun จะ มีอุณหภูมิสูงมากถึงหลายล้านเคลวิน ความดันมหาศาลที่เกิดขึ้นในดวงอาทิตย์เกิดจากการชนกันของอนุภาคหรือ nuclear fusion ที่เกิดขึ้นในดวงอาทิตย์ซึ่งมีอุณหภูมิสูงมากนั้นจะก่อให้เกิดพลังงานอย่าง เพียงพอที่จะรักษาอุณหภูมิและความดันไว้ให้คงที่ ทำให้ดวงอาทิตย์มีขนาดคงที่มาจนถึงปัจจุบัน ระยะเวลาที่ใช้เริ่มจาก nebulae จนถึงเป็นดวงอาทิตย์นั้นใช้เวลาถึง 4.6 พันล้านปี
เหตุที่นักดาราศาสตร์สามารถทราบถึงอายุของการกำเนิดสุริยจักรวาลได้เนื่อง จากมีหลักฐานของสะเก็ดของดาวหางที่ตกลงมาสู่โลกบางชิ้นมีอายุระหว่าง 4.5-4.6 พันล้านปี และชิ้นส่วนของหินจากดวงจันทร์ที่นำกลับมาสู่โลกจากการเดินทางไปดวงจันทร์ เมื่อปี ค.ศ. 1969 ก็มีอายุใกล้เคียงกัน

1.3 The Origin of the Planet
เมื่อ protosun เข้าสู่ระยะสุดท้ายกลุ่มของก๊าซ ของแข็งและของเหลวที่เคลื่อนที่ล้อมรอบ protosun ที่เป็นลักษณะ flat disc จะทำให้เกิดการสร้างดาวเคราะห์ขึ้น ขั้นตอนในการก่อตัวเป็นดาวเคราะห์นั้นยังไม่เป็นที่พิสูจน์ได้อย่างแน่นอน แต่จะอาศัยหลักฐานที่มีอยู่ในการสันนิษฐานถึงการก่อตัวของมันเท่านั้น โดยเชื่อกันว่าดาวเคราะห์ทั้งหลายเกิดจากการรวมตัวของอนุภาคของฝุ่นโมเลกุล และอะตอมต่าง ๆ ร่วมกับแรงที่เกิดจากการชนกันของอนุภาคและแรงโน้มถ่วง ทำให้มีการพัฒนาขนาดของมันให้ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเป็นดาวเคราะห์ในที่สุด บริเวณที่ใกล้ protosun ซึ่งมีอุณหภูมิสูงกว่าบริเวณที่ไกลออกไป ประกอบกับการชนกันของอนุภาคต่าง ๆ ร่วมกับความเร่งอันเนื่องมาจากแรงโน้มถ่วงทำให้ดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้กับ protosun ประกอบด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ บางครั้งจะเรียกว่า rocky planet ในส่วนของดาวเคราะห์ที่กำลังก่อตัวในที่ไกลออกไปซึ่งอุณหภูมิจะต่ำกว่า จะทำให้ก๊าซและโมเลกุลของสารที่มีความเสถียรน้อยรวมตัวกันเป็นของแข็งทำให้ ดาวเคราะห์ที่อยู่ไกลออกไปมีขนาดใหญ่ ดาวพุธและดาวศุกร์ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุดจะมี ก๊าซไฮโดรเจนและฮีเลียมเพียงเล็กน้อย ในขณะที่ดาวพฤหัสและดาวเนปจูนจะประกอบไปด้วยก๊าซทั้งสองชนิดเป็นส่วนใหญ่

1.4 The Origin of the Earth and the Ocean
การ เกิดของโลกก็เกิดจากการรวมตัวของอนุภาคต่างๆเช่นเดียวกับดาวเคราะห์ดวง อื่นๆ ต่อมาโลกจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น เนื่องจากมีสะเก็ดดาวจำนวนมากพุ่งเข้าชน ทำให้มีการถ่ายทอดพลังงานและจากการสลายตัวของสารกัมมันตภาพรังสีภายใน ถึงแม้ว่าอุณหภูมิที่สูงขึ้นอันเนื่องมาจากการสลายตัวนี้ไม่เพียงพอที่จะทำ ให้เกิดปฏิกริยานิวเคลียร์ แต่จะทำให้ภายในโลกหลอมเหลว ธาตุหนักเช่นเหล็กและนิกเกิลจะก่อตัวเป็นแกนกลางของโลกในขณะที่ธาตุเบาเช่น คาร์บอน และแร่ที่มีน้ำหนักเบาเช่นควอทซ์จะก่อตัวเป็น mentle และ crust ขบวนการดังกล่าวเรียกว่า density stratification ซึ่งใช้เวลาประมาณ 100 ล้านปี
เมื่อโลกเริ่มเย็นตัวลงทำให้พื้นผิวภายนอกแข็งตัวซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อ 4.6 พันล้านปีก่อน แสงจากอาทิตย์ที่เพิ่งก่อตัวขึ้นก็เริ่มสาดส่องมายังโลก ซึ่งในขณะนั้นถูกห่อหุ้มด้วยกลุ่มก๊าซ ทำให้เริ่มเกิดชั้นบรรยากาศ นอกจากนี้ก็จะเกิดการระเบิดของภูเขาไฟ ก๊าซที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟจะประกอบด้วยไอน้ำ, ก๊าซไนโตรเจนและคาร์บอนไดออกไซด์เรียกว่า outgassing ไอร้อนของก๊าซเหล่านี้จะก่อตัวเป็นเมฆปกคลุมชั้นบรรยากาศ เมื่อไม่นานมานี้นักดาราศาสตร์ยังพบอีกว่า ในช่วงเวลาดังกล่าวมีดาวหางน้ำแข็งเล็ก ๆ อีกนับล้านลูกพุ่งเข้ามาชนโลกซึ่งเป็นการเพิ่มปริมาณไอน้ำในชั้นบรรยากาศให้ มากขึ้นอีกทางหนึ่ง
ในช่วงเวลาดังกล่าวพื้นผิวของโลกถึงแม้จะเย็นตัวลงเป็นผิวโลก แต่อุณหภูมิก็ยังสูงกว่าจุดเดือดของน้ำมากทำให้ไม่มีน้ำอยู่บนผิวโลก แสงอาทิตย์ไม่สามารถส่องผ่านชั้นของไอน้ำที่หนาทึบเข้ามาสู่ผิวโลกได้ โลกอยู่ในสภาวะดังกล่าวประมาณ 1 ล้านปีจนไอน้ำที่ปกคลุมโลกกลั่นตัวเป็นฝนที่มีอุณหภูมิสูง (hot rain) จัดเป็นฝนที่ตกหนักครั้งใหญ่ที่สุดโดยกินเวลาประมาณ 10ล้านปี พื้นผิวของโลกเย็นลงและน้ำฝนเริ่มมีการขังตัวและละลายแร่ธาตุจากหินบนพื้น ผิวโลก น้ำบางส่วนระเหยขึ้นไปเย็นตัวลงแล้วตกลงมาเป็นฝนอีกครั้งและเกิดการสะสมของ น้ำนี่คือจุดเริ่มของมหาสมุทร เมื่อน้ำสะสมกันมีปริมาณมากน้ำในมหาสมุทรก็มีความลึกเพิ่มขึ้น และส่วนที่เป็น crust ของเปลือกโลกก็จะหนาขึ้นเรื่อย ๆ และบางส่วนมีการทำปฏิกิริยาทางเคมีสารต่าง ๆ ในมหาสมุทร
จากการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้พบว่าพื้นที่ทั้งหมดของโลกถูกปกคลุมด้วยน้ำ ประมาณ 200 ล้านปีก่อนที่จะเกิดพื้นทวีปขึ้น ถึงแม้ว่ามหาสมุทรจะเริ่มเกิดขึ้นเมื่อ 4 พันล้านปีที่แล้วแต่ก็ยังมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันอันเนื่อง มาจากการระเบิดของภูเขาไฟ ทำให้ปริมาณของน้ำในมหาสมุทรเพิ่มมากขึ้นประมาณ 0.1 ลูกบาศก์เมตรต่อปี
องค์ประกอบของชั้นบรรยากาศในระยะเริ่มแรก (early atmosphere) เมื่อ 3.5 พันล้านปีที่แล้ว จะประกอบไปด้วยมีเทน แอมโมเนีย คาร์บอนไดออกไซด์  ไอน้ำและก๊าซอื่น ๆ การเปลี่ยนแปลงส่วนประกอบของก๊าซจนมีไนโตรเจนและออกซิเจนเป็นองค์ประกอบหลัก ในปัจจุบัน เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางเคมีและการผลิตออกซิเจนจากขบวนการสังเคราะห์แสงของ พืช

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

2.โลก

โลกมีรูปร่างเป็นทรงกลมส่วนของขั้วโลกทั้งสองด้านจะแบนเล็กน้อย ตรงกลางบริเวณที่เป็น เส้นศูนย์สูตร (equator) โป่งออกมามากว่าส่วนอื่นจึงดูคล้ายเป็น ทรงกลมรี (oblate spheroid) ทั้งนี้เพราะโครงสร้างของโลกไม่ได้เป็นของแข็งที่มีเนื้อเดียวกันตลอด และเนื่องจากโลกหมุนรอบตัวเองจึงเกิด แรงหนีศูนย์กลาง (centrifugal force) ของเหลวภายในโลกเคลื่อนย้ายไปตามแรงหนีศูนย์กลาง จึงทำให้รูปทรงของโลกเสียรูปจากการเป็นทรงกลม และถือว่ามี ลักษณะที่ไม่สมมาตร (asymmetry) โลกมีรัศมีตามแนวขั้วโลกประมาณ 6,356.9 กิโลเมตร และมีรัศมีตามแนวเส้นศูนย์สูตรประมาณ 6,378.4 กิโลเมตร (ภาพที่ 2.2)

ภาพที่ 2.2 รูปร่างของโลกเปรียบเทียบกับรูปทรงกลม แสดงให้เห็นว่าความยาวของรัศมีในแนวนอนมากกว่ารัศมีในแนวตั้ง
ที่มา: Garrison (2007)

2.1 โครงสร้างของโลกเมื่อพิจารณาจากองค์ประกอบทางเคมี
เมื่อ ต้นศตวรรษนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการทดลองเพื่อให้ทราบถึงองค์ประกอบภายในของโลกในหลาย ๆ วิธีการ เช่นการวัดความร้อนภายในโลก การวัดคลื่นการสั่นสะเทือนจากการเกิดแผ่นดินไหว รวมถึงการวิเคราะห์องค์ประกอบของสะเก็ดดาวที่มีองค์ประกอบคล้ายคลึงกับโลก โครงสร้างของโลกเมื่อพิจารณาจากองค์ประกอบทางเคมีจะสามารถแบ่งโลกได้เป็นสาม ชั้นคือ core, mantle และ crust (ภาพที่ 2.3)

ภาพที่ 2.3 ส่วนต่างๆของโลกเมื่อแบ่งโดยใช้องค์ประกอบทางเคมี (ซ้าย)และกายภาพ (ขวา)
ที่มา: Garrison (2007)
 
(1) core เป็นชั้นในสุด มีความหนานับจากจุดศูนย์กลางโลกประมาณ 3,743 กิโลเมตร โดยมีเหล็กและนิกเกิล เป็นองค์ประกอบหลัก (90%) นอกจากนี้ยังมีซิลิกอน, ซัลเฟอร์ และโลหะหนักอื่น ๆ เล็กน้อย ความหนาแน่นประมาณ 13 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร ชั้นนี้มีมวล 31.5 % และปริมาตร 16 % ของโลกทั้งหมด และยังแบ่งเป็นสองชั้นย่อยคือชั้นใน inner core และชั้นนอก outer core

(2) mantle อยู่ถัดจากแกนในของโลกออกไป มีความหนาประมาณ 2,865 กิโลเมตร อยู่ลึกลงไปจากผิวโลก 65-2,900 กิโลเมตรความหนาแน่นประมาณ 4.5 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร ชั้นนี้เป็นชั้นของหินหลอมเหลวประกอบด้วยอัตราส่วนของ ออกซิเจน:แมกนีเซียม:ซิลิกอน ประมาณ 4:2:1 และมีความร้อนมหาศาลอันเนื่องมาจากการการสลายตัวของสารกัมมันตภาพรังสี ประกอบกับมีความดันสูงทำให้หินภายในหลอมเหลวเป็นหินหนืด (magma) ชั้นนี้มีมวลสาร 68.1 % และปริมาตร 83 % ของโลกทั้งหมด

(3) crust เป็นชั้นของผิวเปลือก โลกชั้นนอกสุดเป็นชั้นหินแข็งมีมวลสารเพียง0.4% ของมวลสารทั้งหมดของโลก และปริมาณน้อยกว่า 1% ของปริมาตรทั้งหมดของโลก มีความหนาแน่นประมาณ 2.5-3.3 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร แบ่งออกเป็น
  • เปลือกโลกทวีป (continental crust ) เป็นชั้นหินที่รองรับส่วนที่เป็นพื้นทวีปของโลก มีความหนาแน่นเฉลี่ยประมาณ 2.65 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร จากการศึกษาส่วนประกอบของของหินทางเคมีพบว่าส่วนใหญ่เป็นหินแกรนิต (granite) มีสีอ่อนหรือจาง ๆ จัดเป็นหินที่มีความหนาแน่นน้อยเรียกว่า sial ซึ่งส่วนประกอบสำคัญคือซิลิกอนและอะลูมิเนียม ชั้นนี้มีความหนาแตกต่างกันไปอยู่ในระหว่าง 5-65 กิโลเมตร
  • เปลือกโลกมหาสมุทร (oceanic crust) เป็นชั้นหินรองรับส่วนที่เป็นมหาสมุทร มีความหนาแน่นโดยเฉลี่ยประมาณ 3.0 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร ส่วนใหญ่เป็นหินบะซอลท์ (basalt) ซึ่งมีสีเข้มหรือสีดำ เป็นหินที่มีความหนาแน่นสูงเรียกว่า sima เพราะส่วนประกอบที่สำคัญคือซิลิกอนและแมกนีเซียม จึงเป็นหินค่อนข้างหนัก ชั้นหินบะซอลท์ของส่วนเปลือกโลกมหาสมุทรอาจแผ่ออกไปรองรับส่วนที่เป็นหิน แกรนิตของเปลือกโลกทวีป เช่นในบางแห่งพบว่าภูเขาไฟวางตัวอยู่บนหินบะซอลท์ 

2.2 โครงสร้างของโลกพิจารณาจากองค์ประกอบทางกายภาพ
ปัจจัยที่มีผลต่อลักษณะทางกายภาพของหินภายในโลกก็คือ อุณหภูมิ ความดัน และ ความเครียด ซึ่งทำให้หินมีการเปลี่ยนรูปหรือเปลี่ยนสถานะ ซึ่งการพิจารณาจากปัจจัยทางกายภาพนี้จะมีประโยชน์ในการศึกษาทางธรณีวิทยาของ โลก เราสามารถแบ่งชั้นโครงสร้างของโลกจากปัจจัยทางกายภาพได้ดังนี้ (ภาพที่ 2.3)
ภาพที่ 2.3 ส่วนต่างๆของโลกเมื่อแบ่งโดยใช้องค์ประกอบทางเคมี (ซ้าย) และกายภาพ (ขวา)
ที่มา: Garrison (2007)
(1) Lithosphere (lithos=rock) เป็นส่วนของเปลือกโลกที่เย็นตัวลงหรือเป็นชั้นที่มีสถานะเป็นของแข็ง มีความหนาประมาณ 100 กิโลเมตร ประกอบส่วนที่เป็น brittle (ส่วนที่เปราะหรือแตกง่าย) continental และ oceanic crust รวมถึงด้านบนสุดหรือส่วนที่เริ่มแข็งตัวในชั้น mentle
(2) Asthenosphere (asthenos=soft) เป็นชั้นที่ค่อนข้างบางและมีความร้อนสูงและมีการเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ มีความหนาประมาณ 700 กิโลเมตร หินในชั้นนี้จะมีคุณสมบัติในการเปลี่ยนรูปให้มีลักษณะเป็นของเหลวคล้าย พลาสติกภายใต้ความดัน เปรียบเทียบได้กับทอฟฟี่ที่เย็นตัวแล้ว
(3) Mesosphere (mesos=middle) เป็นส่วนที่อยู่ในชั้นกลางและ ด้านล่างของ mentle รวมถึงแพร่เข้าไปใน core บางส่วนด้วย โดยจะมีสถานะเป็นของแข็ง อุณหภูมิจะสูงกว่าชั้น Asthenosphere โดยมีคุณสมบัติทางเคมีคล้ายคลึงกันแต่คุณสมบัติทางกายภาพต่างกัน
(4) Core แบ่งเป็นสองส่วนด้วยกัน คือ outer core ซึ่งเป็นของเหลวที่มีลักษณะหนืดความหนาแน่นประมาณ 11.8 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร และ inner core ส่วนนี้จะมีสถานะเป็นของแข็งความหนาแน่นประมาณ 16 กรัมต่อลูกบาศก์เซ็นติเมตร core เป็นชั้นที่มีอุณหภูมิสูงมากที่สุดถึงประมาณ 5,500 องศาเซลเซียส โดยจุดศูนย์กลางอาจมีอุณหภูมิสูงถึง 6,600 องศาเซลเซียส ซึ่งมากกว่าอุณหภูมิที่ผิวหน้าของดวงอาทิตย์ การที่ core มีสถานะเป็นของแข็งเนื่องมาจากความดันมหาศาลที่แกนกลางภายในโลก

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

3.Isostacy

เป็นสภาพการวางตัวให้อยู่ในสภาวะสมดุลของเปลือกโลกทวีปและเปลือกโลกมหาสมุทร โดยที่เปลือกโลกทวีปซึ่งมีความหนาและมีความหนาแน่นน้อยจึงสามารถยกตัวขึ้น สูงขึ้นไปในอากาศได้ ส่วนที่เป็นภูเขาจะมีส่วนที่ทำหน้าที่คล้ายรากยื่นลงไปในชั้น mentle ขณะเดียวกันเปลือกโลกมหาสมุทรซึ่งมีลักษณะบางและมีความหนาแน่นมากกว่า จะลอยตัวอยู่เหนือชั้น mentle โดยไม่มีส่วนที่สูงขึ้นไปและมีรากเหมือนเปลือกโลกทวีป สภาพของสมดุลแบบนี้คล้ายกับการลอยตัวของภูเขาน้ำแข็ง ประมาณกันว่า 93% ของเปลือกโลกทวีปจมตัวอยู่ในชั้น lithosphere ในระดับที่สมดุล (isostatic level) เนื่องมาจากความแตกต่างระหว่างความหนาแน่นของหินที่ประกอบเป็นชั้นของเปลือก โลกทั้งสองชนิด ทำให้ชั้นเปลือกโลกทวีปยังสามารถสูงขึ้นไปในอากาศได้อีกมาก เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นบนเปลือกโลกทวีปเปลือกโลกมหาสมุทรก็จะมีการ เปลี่ยนแปลงเพื่อปรับตัวให้อยู่ในสภาวะสมดุลเสมอ

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดที่สามารถยืนยันถึง Isostacy ของเปลือกโลกก็คือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับทวีปแอนตาร์คติกาซึ่งถูกปก คลุมไว้ด้วยน้ำแข็งหนาถึง 4,000 เมตร น้ำหนักอันมหาศาลของน้ำแข็งบนพื้นทวีปจะกดให้ทวีปจมตัวลงไป ถ้าน้ำแข็งละลายจะทำให้พื้นทวีปเคลื่อนตัวขึ้นมาอย่างช้า ๆ คล้ายกับเอาของที่บรรทุกอยู่บนเรือสินค้าออกไป (ภาพที่ 2.4) ในยุคน้ำแข็งที่ผ่านมาน้ำหนักของน้ำแข็งที่กดลงบนพื้นทวีปในประเทศแคนาดา, สแกนดิเนเวีย และไซบีเรีย ลึกลงไปถึงชั้น mentle จนถึงเมื่อประมาณ 18,000 ปีที่ผ่านมาน้ำแข็งเริ่มละลายทำให้พื้นทวีปดังกล่าวมีความสูงมากกว่าเดิม ประมาณ 500-600 เมตร แต่มันจะต้องสูงขึ้นอีก 200 เมตรจึงจะถึง isostatic equilibrium



ภาพที่ 2.4 หลักของการลอยตัว (The principle of bouyancy) เรือจะจมตัวลงเท่ากับปริมาตรของน้ำหนักของที่บรรทุก
ที่มา: Garrison (2007)
 

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

4.การก่อกำเนิดของทวีป

ทวีปต่างๆ ถือกำเนิดมาได้อย่างไร ?

 


4.1 Puzzling Fit
การ ก่อกำเนิดของทวีปนั้นได้มีข้อสงสัยกันมานานแล้วว่าทวีปนั้นเกิดขึ้นได้ อย่างไร ในอดีตมีการตั้งข้อสังเกตว่าทวีปต่าง ๆ ในโลกนั้นถ้านำมาต่อกันจะสามารถเข้ากันได้คล้ายกับการต่อภาพ jigsaw เมื่อปี ค.ศ. 1885 Edward Suess นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันได้เสนอว่าทวีปที่อยู่ในบริเวณซีกโลกใต้ครั้งหนึ่งอาจเคยรวมกันทวีปเดียวกัน โดยอ้างหลักฐานจากซาก fossil ของเฟิร์นชนิดหนึ่งชื่อ Groosopteris ที่พบในทวีปแอฟริกาและอเมริกาใต้มีความคล้ายคลึงกัน แต่เขาไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันเคลื่อนที่ได้อย่างไร (ภาพที่ 2.5)
ภาพที่ 2.5 ส่วนของทวีปอเมริกาใต้และแอฟริกาบริเวณที่มีความเป็นไปได้ว่าน่าจะเคยเชื่อมต่อกัน ตามการสันนิษฐานของ Edward Suess
ที่มา: Garrison (2007)

4.2 Continental Drift
ในปี ค.ศ. 1912 นักอุตุนิยมวิทยาชาวเยอรมันชื่อ Alfred Wegner ได้เสนอสมมติฐานเกี่ยวกับการเลื่อนลอยของทวีป (Continental drift) โดยเชื่อว่าพื้นทวีปทั้งหมดของโลกเชื่อมรวมกันเป็นแผ่นดินอันกว้างใหญ่ เรียกว่า Pangaea (pan = all ; gaea = earth) ล้อมรอบด้วยมหาสมุทร (thalassa = ocean) เมื่อ 200 ล้านปีที่ผ่านมา Pangaea เริ่มแยกตัวออกจากกันเรื่อย ๆ จนมาอยู่ในตำแหน่งปัจจุบัน โดยเขาอธิบายโดยอาศัยผลจากการศึกษาถึงรูปร่างและลักษณะของทวีปแอตแลนติก เหนือและใต้ โดยเฉพาะบริเวณขอบทวีปเมื่อนำมาต่อประกอบกันแล้วจะเข้ากันได้ และอธิบายว่าซาก fossil ของเฟิร์นจากตัวอย่างของ Suess นั้นได้จากการพังทลายของธารน้ำแข็งที่เดียวกันแต่ปัจจุบันได้แพร่กระจายไป ยังบริเวณต่าง ๆ ทั่วโลกคืออเมริกาใต้, ออสเตรเลีย และอินเดีย และจากซาก fossil ของพืชเขตร้อนที่อยู่ในถ่านหินที่พบในทวีปแอนตาร์กติกาโดย Ernest Stockleton ในปี ค.ศ. 1908 Wegner เสนอว่าการเคลื่อนตัวออกจากกันเป็นทวีป ต่าง ๆ นั้นน่าจะมาจากผลจากแรงระเบิดของภูเขาไฟ (ภาพที่ 2.6)
ภาพที่ 2.6 ลักษณะของ Pangaea และ Panthalassa ตามสมมติฐานของ Alfred Wegner
ที่มา: Garrison (2007)

นอกจากนี้ Wegner ยังอธิบายถึงเหตุผลอื่น ๆ ที่ทำให้ทวีปเกิดการเคลื่อนตัวออกจากกันโดยเขาเชื่อว่าทวีปมีการเคลื่อนตัว เข้าหาเส้นศูนย์สูตรอันเนื่องมาจากผลจากแรงหมุนของโลก ประกอบกับแรงที่เกิดจากน้ำขึ้นน้ำลงร่วมกับแรงดึงดูดจากดวงอาทิตย์และดวง จันทร์ แต่สมมติฐานของเขายังไม่ได้รับการยอมรับกันมากนักเนื่องจากในความเห็นของนัก ธรณีวิทยาในขณะนั้นเชื่อว่าใต้พื้นโลกในชั้น mantle ยังเป็นของแข็งดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่พื้นผิวของโลกจะมีการเคลื่อนไหว


4.3 Sea Floor Spreading
ในปี ค.ศ. 1960 ศาสตราจารย์ Harry Hess จากมหาวิทยาลัย Princeton ได้เสนอทฤษฎีการแผ่ออกของมหาสมุทร (sea floor spreading) โดยเขากล่าวว่าพื้นมหาสมุทรจะเกิดขึ้นใหม่อย่างช้า ๆ จากบริเวณสันเขากลางมหาสมุทร (Mid Ocean Ridge) และจะเคลื่อนออกไปจากสันดังกล่าว โดยแรงที่ทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของพื้นมหาสมุทรมาจาก convection current ซึ่งเกิดจากการเคลื่อนตัวของ magma ที่อยู่ในชั้น Asthenosphere ในขณะเดียวกันขอบอีกด้านหนึ่งจะถูกทำลาย (subduction) บริเวณที่ส่วนนี้ถูกทำลายเรียกว่า subduction zone (ภาพที่ 2.7) โดยปกติมักเป็นบริเวณเหวของมหาสมุทร (trench) ซึ่งเป็นขบวนการที่ซับซ้อน การเคลื่อนไหลนี้จะเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ ประมาณ2-3 เซนติเมตรต่อปี เป็นขบวนการที่เชื่อว่าทำให้เกิดการแยกตัวและการรวมกันของทวีปรวมทั้งการ เกิดของมหาสมุทรต่างๆตามที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน แนวความคิดเกี่ยวกับการแผ่ออกของพื้นทะเลนี้ทำให้เราสามารถอธิบายข้อสงสัย ต่าง ๆ ได้หลายอย่าง เช่นการต่อกันอย่างสนิทของทวีปต่าง ๆ ที่อยู่ทั้งสองข้างของมหาสมุทรแอตแลนติกซึ่งอาจเกิดการแยกออกจากกันเป็นคนละ ทวีปจากแนวสัน Mid Atlantic Ridge
ภาพที่ 2.7 แนวของแนวสันเขาใต้น้ำกลางมหาสมุทรแอตแลนติก (Mid Atlantic Ridge) ภาพขยายแสดงลักษณะของแนวสันเขา
ที่มา: Garrison (2007)

4.4 Plate Tectonic
ในปี ค.ศ. 1965 J. Tuzo Wilson นักธรณีวิทยาชาวแคนาดาได้นำทฤษฎี continental drift และ seafloor spreading มาเป็นพื้นฐานเพื่อใช้ในการอธิบายทฤษฎีใหม่ของเขาที่ชื่อว่า plate tectonic ซึ่งเชื่อว่าพื้นผิวด้านนอกของโลกจะมีลักษณะเป็นแผ่นมีทั้งหมด 12 แผ่น แต่แผ่นที่ใหญ่และเป็นหลัก ๆ แสดงไว้ดังภาพที่ 2.8 โดยแต่ละแผ่นมีความหนาประมาณ 70-100 กิโลเมตร ลอยอยู่ในชั้น Asthenosphere และ plate แต่ละชิ้นจะประกอบด้วยส่วนของทวีปและมหาสมุทรจึงแสดงให้เห็นว่าขอบเขตของ ชิ้นส่วนเหล่านี้ไม่ใช่ขอบเขตระหว่างทวีปและมหาสมุทร และอาจอยู่เหลื่อมล้ำกัน การเคลื่อนที่ของ plate ต่าง ๆ เป็นผลจากการเคลื่อนที่ในลักษณะที่เรียกว่า convection current ของของเหลวในชั้น Asthenosphere ทั้งนี้เนื่องจากภายในของโลกมีเพิ่มอุณหภูมิอย่างมหาศาลซึ่งเกิดจากการสลาย ตัวของสารกัมมันตภาพรังสีภายในโลก สารที่ร้อนและเบากว่าบริเวณข้างเคียงจะเคลื่อนตัวสูงขึ้นเมื่อเคลื่อนมาถึง ชั้น lithosphere ก็จะทำให้เกิดแรงดันให้แยกตัวออกไปด้านข้างดันให้ plate เคลื่อนที่ออกไปเมื่อของเหลวนั้นเย็นตัวก็จะทำให้เกิดพื้นมหาสมุทรใหม่ ในขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งของ plate สารหลอมเหลวก็จะดึงส่วนที่เป็นพื้นผิวโลกเดิมให้จมตัวลงจัดเป็นลงรอบของการ เคลื่อนที่ของของเหลวภายในโลก (ภาพที่ 2.9) ถึงแม้ว่ากลไกนี้จะเป็นที่ยอมรับกันในปัจจุบันแต่ยังไม่สามารถอธิบายได้ว่า เพราะเหตุใด convection current ที่เกิดขึ้นจะต้องเกิดตามแนวสันเขากลางมหาสมุทรซึ่งเป็นขอบด้านหนึ่งของ plate
 
ภาพที่2.8 แผ่นเปลือกโลกที่สำคัญทั้ง 12 แผ่น
ที่มา: Garrison (2007)

ขอบของ plate ที่เป็นแนวที่เกิดเปลือกมหาสมุทรใหม่จะเรียกว่าเป็น divergent plate boundary ตัวอย่างเช่น Mid-Atlantic Ridge ในมหาสมุทรแอตแลนติก ในขณะเดียวกันส่วนของเปลือกโลกที่ถูกทำลายเราจะเรียกส่วนนี้ว่า convergent plate boundary ซึ่งจะเป็นบริเวณที่มีการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาอย่างรุนแรงเนื่องจากเป็น แนวที่ plate ซ้อนทับกัน ตัวอย่างเช่นทวีปอเมริกาใต้ซึ่งอยู่บน South American Plate ซึ่งมีทิศทางการเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกจะอยู่ติดกันกับส่วนหนึ่ง ของมหาสมุทรแปซิฟิกที่อยู่บน Nazca Plate ซึ่งมีทิศทางการเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันออกดังนั้นจึงมีการดันกันของ plate โดยทวีปอเมริกาใต้ซึ่งลอยตัวอยู่ในชั้น lithosphere ซึ่งเป็นเปลือกโลกทวีปที่ค่อนข้างหนาและเบากว่าจะเกยเหนือ Nazca Plate โดยเปลือกโลกมหาสมุทรที่หนักกว่าของ Nazca Plate จะจมตัวลงเป็น subduction zone ซึ่งมีลักษณะเป็นหุบเหวลึก (trench) ขนานไปกับชายฝั่งด้านตะวันตกของทวีปอเมริกาใต้

ภาพที่ 2.9 ลักษณะการไหลเวียนของ convection current
ที่มา: Garrison (2007)

ส่วนของ plate ด้านล่างจะจมตัวลงไปนั้นจะค่อย ๆ มีความหนาแน่นเพิ่มมากเมื่อจมลึกลงไปมากขึ้น และส่วนบนที่มีความหนาแน่นน้อยรวมทั้งตะกอนต่าง ๆ ที่อยู่บนผิวหน้า plate จะหลอมละลายในชั้น Asthenosphere การที่ plate จมตัวนี้จะทำให้เกิดแผ่นดินไหวขึ้นและเปลือกโลกและตะกอนบนผิวหน้าที่หลอม ละลายทำให้เกิด magma, น้ำ และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งถ้าสะสมกันจนมีปริมาณมากเกินไปจะทำให้เกิดภูเขา ไฟระเบิดขึ้นตัวอย่างเช่นการระเบิดของภูเขาไฟบริเวณเทือกเขา Andes และแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในทวีปอเมริกาใต้ (ภาพที่ 2.10)

ภาพที่ 2.10 การชนกันของแผ่นเปลือกโลกมหาสมุทรและเปลือกโลกทวีปบริเวณทวีปอเมริกาใต้
ที่มา Garrison (2007)

ในกรณีที่การจมตัวลงของ plate ที่เป็นเปลือกโลกมหาสมุทรทั้งคู่นั้นเปลือกโลกอันหนึ่งจะเป็นเปลือกโลกที่มี อายุมากกว่าอีกอันหนึ่งซึ่งจะมีความหนาแน่นมากกว่า เมื่อเกิดการชนกันเปลือกโลกที่มีอายุมากกว่าจะจมตัวลงเนื่องมาจากผลของแรง โน้มถ่วงบริเวณที่เกิดการจมตัวลงนั้นจะเกิดเป็นหุบเหวลึก (trench) เปลือกโลกมหาสมุทรและตะกอนผิวหน้าที่หลอมละลายเป็น magma ในชั้น asthenosphere นั้นก็จะทำให้เกิดการระเบิดของภูเขาไปเช่นเดียวกันโดยภูเขาไฟบริเวณพื้น มหาสมุทรนั้น จะมีบางส่วนที่โผล่พ้นน้ำจะเรียงตัวเป็นหมู่เกาะรูปโค้ง (island arc) ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ทางเหนือและตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก นักธรณีวิทยาบางคนเชื่อว่าเปลือกโลกทวีปอาจมีสาเหตุเกิดจากหินลาวาที่เกิด จากการระเบิดของภูเขาไฟใต้น้ำในกรณีดังกล่าว (ภาพที่ 2.11)

ภาพที่ 2.11 การชนกันของเปลือกโลกในกรณีที่เป็นเปลือกโลกมหาสมุทรทั้งคู่ เปลือกโลกที่มีอายุมากกว่า (ซ้าย) จะจมตัวลง
ที่มา: Garrison (2007)

ถ้าพิจารณาถึงการชนกันของ plate ถ้า plate ทั้งสองเป็นเปลือกโลกทวีป ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการชนกันของ India-Australia Plate และ Eurasian Plate เมื่อประมาณ 45 ล้านปีที่แล้วทำให้เกิดเทือกเขาหิมาลัยขึ้น โดยด้านบนของเปลือกโลกทวีป จะเกยกันทำให้เกิดเป็นภูเขา ส่วนด้านล่างของ plate ทั้งสองจะจมตัวลงด้านล่างเหมือน ๆ กันจนเกิดราก (root) ที่ทำหน้าที่รับน้ำหนักภูเขาที่เกิดขึ้นตามหลัก isostacy (ภาพที่ 2.12)

ภาพ ที่ 2.12 การชนกันของเปลือกโลกในกรณีที่เปลือกโลกทั้งสองเป็นเปลือกโลกทวีปบริเวณตอน ใต้ของประเทศจีน ไม่มีเปลือกโลกด้านใดที่มีความหนาแน่นพอที่จะจมลงสู่ชั้น asthenosphere แรงดันอันเนื่องจากการชนทำให้เปลือกโลกดันตัวเป็นเทือกเขาหิมาลัย
ที่มา: Garrison (2007)

ส่วนของ plate ที่อยู่ชิดกันแต่มีแรงกระทำกันด้านข้างโดย ไม่มีการเกยกันเราจะเรียกลักษณะดังกล่าวว่า transform plate boundary แรงที่เกิดจากการเลื่อนนี้อาจเพียงพอที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหวขึ้นได้ซึ่งพบ มากทางด้านตะวันออก Pacific Plate ที่อยู่ติดกันกับ North American Plate จะมีรอยแยกที่เกิดจากการเลื่อนของ plate ที่สำคัญ ๆ เช่น California’s San Andreas Fault เป็นต้น (ภาพที่ 2.13)

ภาพที่ 2.13 Transform boundary
ที่มา: Garrison (2007)
การ อธิบายถึงปรากฏการณ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับทวีปและมหาสมุทรเป็นผลมาจากการศึกษาเรื่องราวของโลกในด้านต่าง ๆ เช่น การศึกษาสภาพของแม่เหล็กโบราณ (paleomagnetism) โดยอาศัยหลักการที่ว่าสภาพแม่เหล็กที่ประกอบอยู่ในหินจะวางตัวในแนวเดียวกัน กับสนามแม่เหล็กโลก เมื่อใช้เครื่องมือที่มีความไวสูงจะสามารถตรวจจับสนามแม่เหล็กที่ยังตก ค้างอยู่ในหินได้แม้ว่าเวลาจะผ่านไปหลายล้านปีหลังจากที่โลกเย็นตัวลง จากการศึกษาพบว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมาสนามแม่เหล็กโลกมีการเปลี่ยนแปลงหลาย ครั้ง ตำแหน่งขั้วเหนือใต้ของสนามแม่เหล็กโลกก็จะเปลี่ยนแปลงไปด้วย ทำให้เราทราบถึงลักษณะของเปลือกโลกทวีปและเปลือกโลกมหาสมุทรในช่วงเวลาที่ ผ่านมาได้

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

5.ลักษณะทั่วไปของมหาสมุทร







จากการศึกษาถึงลักษณะทั่วไปของมหาสมุทรเกี่ยวกับรูปร่างและการกระจาย ตลอดจน ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในมหาสมุทรพบว่า พื้นผิวโลกซึ่งมีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 510 ล้านตารางกิโลเมตรจะถูกปกคลุมด้วยพื้นน้ำถึง 361 ล้านตารางกิโลเมตร คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 70.8 เปอร์เซ็นต์ของพื้นผิวทั้งหมด ส่วนที่เป็นพื้นดินมีเพียง 149 ล้านตารางกิโลเมตร หรือคิดเป็น 29.2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ถึงแม้ว่ามหาสมุทรของโลกจะต่อเนื่องกัน แต่เพื่อความสะดวกในการศึกษาเราจึงแบ่งมหาสมุทรออกเป็น 3 มหาสมุทรด้วยกัน จากความต่อเนื่องกันของมหาสมุทรจึงจำเป็นจะต้องกำหนดแนวสมมติในการบอกถึงขอบ เขตของมหาสมุทร ซึ่งมหาสมุทรทั้งสามได้แก่ มหาสมุทรแปซิฟิก มหาสมุทรแอตแลนติก และมหาสมุทรอินเดีย

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS