ขับเคลื่อนโดย Blogger.

RSS

4.การก่อกำเนิดของทวีป

ทวีปต่างๆ ถือกำเนิดมาได้อย่างไร ?

 


4.1 Puzzling Fit
การ ก่อกำเนิดของทวีปนั้นได้มีข้อสงสัยกันมานานแล้วว่าทวีปนั้นเกิดขึ้นได้ อย่างไร ในอดีตมีการตั้งข้อสังเกตว่าทวีปต่าง ๆ ในโลกนั้นถ้านำมาต่อกันจะสามารถเข้ากันได้คล้ายกับการต่อภาพ jigsaw เมื่อปี ค.ศ. 1885 Edward Suess นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันได้เสนอว่าทวีปที่อยู่ในบริเวณซีกโลกใต้ครั้งหนึ่งอาจเคยรวมกันทวีปเดียวกัน โดยอ้างหลักฐานจากซาก fossil ของเฟิร์นชนิดหนึ่งชื่อ Groosopteris ที่พบในทวีปแอฟริกาและอเมริกาใต้มีความคล้ายคลึงกัน แต่เขาไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันเคลื่อนที่ได้อย่างไร (ภาพที่ 2.5)
ภาพที่ 2.5 ส่วนของทวีปอเมริกาใต้และแอฟริกาบริเวณที่มีความเป็นไปได้ว่าน่าจะเคยเชื่อมต่อกัน ตามการสันนิษฐานของ Edward Suess
ที่มา: Garrison (2007)

4.2 Continental Drift
ในปี ค.ศ. 1912 นักอุตุนิยมวิทยาชาวเยอรมันชื่อ Alfred Wegner ได้เสนอสมมติฐานเกี่ยวกับการเลื่อนลอยของทวีป (Continental drift) โดยเชื่อว่าพื้นทวีปทั้งหมดของโลกเชื่อมรวมกันเป็นแผ่นดินอันกว้างใหญ่ เรียกว่า Pangaea (pan = all ; gaea = earth) ล้อมรอบด้วยมหาสมุทร (thalassa = ocean) เมื่อ 200 ล้านปีที่ผ่านมา Pangaea เริ่มแยกตัวออกจากกันเรื่อย ๆ จนมาอยู่ในตำแหน่งปัจจุบัน โดยเขาอธิบายโดยอาศัยผลจากการศึกษาถึงรูปร่างและลักษณะของทวีปแอตแลนติก เหนือและใต้ โดยเฉพาะบริเวณขอบทวีปเมื่อนำมาต่อประกอบกันแล้วจะเข้ากันได้ และอธิบายว่าซาก fossil ของเฟิร์นจากตัวอย่างของ Suess นั้นได้จากการพังทลายของธารน้ำแข็งที่เดียวกันแต่ปัจจุบันได้แพร่กระจายไป ยังบริเวณต่าง ๆ ทั่วโลกคืออเมริกาใต้, ออสเตรเลีย และอินเดีย และจากซาก fossil ของพืชเขตร้อนที่อยู่ในถ่านหินที่พบในทวีปแอนตาร์กติกาโดย Ernest Stockleton ในปี ค.ศ. 1908 Wegner เสนอว่าการเคลื่อนตัวออกจากกันเป็นทวีป ต่าง ๆ นั้นน่าจะมาจากผลจากแรงระเบิดของภูเขาไฟ (ภาพที่ 2.6)
ภาพที่ 2.6 ลักษณะของ Pangaea และ Panthalassa ตามสมมติฐานของ Alfred Wegner
ที่มา: Garrison (2007)

นอกจากนี้ Wegner ยังอธิบายถึงเหตุผลอื่น ๆ ที่ทำให้ทวีปเกิดการเคลื่อนตัวออกจากกันโดยเขาเชื่อว่าทวีปมีการเคลื่อนตัว เข้าหาเส้นศูนย์สูตรอันเนื่องมาจากผลจากแรงหมุนของโลก ประกอบกับแรงที่เกิดจากน้ำขึ้นน้ำลงร่วมกับแรงดึงดูดจากดวงอาทิตย์และดวง จันทร์ แต่สมมติฐานของเขายังไม่ได้รับการยอมรับกันมากนักเนื่องจากในความเห็นของนัก ธรณีวิทยาในขณะนั้นเชื่อว่าใต้พื้นโลกในชั้น mantle ยังเป็นของแข็งดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่พื้นผิวของโลกจะมีการเคลื่อนไหว


4.3 Sea Floor Spreading
ในปี ค.ศ. 1960 ศาสตราจารย์ Harry Hess จากมหาวิทยาลัย Princeton ได้เสนอทฤษฎีการแผ่ออกของมหาสมุทร (sea floor spreading) โดยเขากล่าวว่าพื้นมหาสมุทรจะเกิดขึ้นใหม่อย่างช้า ๆ จากบริเวณสันเขากลางมหาสมุทร (Mid Ocean Ridge) และจะเคลื่อนออกไปจากสันดังกล่าว โดยแรงที่ทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของพื้นมหาสมุทรมาจาก convection current ซึ่งเกิดจากการเคลื่อนตัวของ magma ที่อยู่ในชั้น Asthenosphere ในขณะเดียวกันขอบอีกด้านหนึ่งจะถูกทำลาย (subduction) บริเวณที่ส่วนนี้ถูกทำลายเรียกว่า subduction zone (ภาพที่ 2.7) โดยปกติมักเป็นบริเวณเหวของมหาสมุทร (trench) ซึ่งเป็นขบวนการที่ซับซ้อน การเคลื่อนไหลนี้จะเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ ประมาณ2-3 เซนติเมตรต่อปี เป็นขบวนการที่เชื่อว่าทำให้เกิดการแยกตัวและการรวมกันของทวีปรวมทั้งการ เกิดของมหาสมุทรต่างๆตามที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน แนวความคิดเกี่ยวกับการแผ่ออกของพื้นทะเลนี้ทำให้เราสามารถอธิบายข้อสงสัย ต่าง ๆ ได้หลายอย่าง เช่นการต่อกันอย่างสนิทของทวีปต่าง ๆ ที่อยู่ทั้งสองข้างของมหาสมุทรแอตแลนติกซึ่งอาจเกิดการแยกออกจากกันเป็นคนละ ทวีปจากแนวสัน Mid Atlantic Ridge
ภาพที่ 2.7 แนวของแนวสันเขาใต้น้ำกลางมหาสมุทรแอตแลนติก (Mid Atlantic Ridge) ภาพขยายแสดงลักษณะของแนวสันเขา
ที่มา: Garrison (2007)

4.4 Plate Tectonic
ในปี ค.ศ. 1965 J. Tuzo Wilson นักธรณีวิทยาชาวแคนาดาได้นำทฤษฎี continental drift และ seafloor spreading มาเป็นพื้นฐานเพื่อใช้ในการอธิบายทฤษฎีใหม่ของเขาที่ชื่อว่า plate tectonic ซึ่งเชื่อว่าพื้นผิวด้านนอกของโลกจะมีลักษณะเป็นแผ่นมีทั้งหมด 12 แผ่น แต่แผ่นที่ใหญ่และเป็นหลัก ๆ แสดงไว้ดังภาพที่ 2.8 โดยแต่ละแผ่นมีความหนาประมาณ 70-100 กิโลเมตร ลอยอยู่ในชั้น Asthenosphere และ plate แต่ละชิ้นจะประกอบด้วยส่วนของทวีปและมหาสมุทรจึงแสดงให้เห็นว่าขอบเขตของ ชิ้นส่วนเหล่านี้ไม่ใช่ขอบเขตระหว่างทวีปและมหาสมุทร และอาจอยู่เหลื่อมล้ำกัน การเคลื่อนที่ของ plate ต่าง ๆ เป็นผลจากการเคลื่อนที่ในลักษณะที่เรียกว่า convection current ของของเหลวในชั้น Asthenosphere ทั้งนี้เนื่องจากภายในของโลกมีเพิ่มอุณหภูมิอย่างมหาศาลซึ่งเกิดจากการสลาย ตัวของสารกัมมันตภาพรังสีภายในโลก สารที่ร้อนและเบากว่าบริเวณข้างเคียงจะเคลื่อนตัวสูงขึ้นเมื่อเคลื่อนมาถึง ชั้น lithosphere ก็จะทำให้เกิดแรงดันให้แยกตัวออกไปด้านข้างดันให้ plate เคลื่อนที่ออกไปเมื่อของเหลวนั้นเย็นตัวก็จะทำให้เกิดพื้นมหาสมุทรใหม่ ในขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งของ plate สารหลอมเหลวก็จะดึงส่วนที่เป็นพื้นผิวโลกเดิมให้จมตัวลงจัดเป็นลงรอบของการ เคลื่อนที่ของของเหลวภายในโลก (ภาพที่ 2.9) ถึงแม้ว่ากลไกนี้จะเป็นที่ยอมรับกันในปัจจุบันแต่ยังไม่สามารถอธิบายได้ว่า เพราะเหตุใด convection current ที่เกิดขึ้นจะต้องเกิดตามแนวสันเขากลางมหาสมุทรซึ่งเป็นขอบด้านหนึ่งของ plate
 
ภาพที่2.8 แผ่นเปลือกโลกที่สำคัญทั้ง 12 แผ่น
ที่มา: Garrison (2007)

ขอบของ plate ที่เป็นแนวที่เกิดเปลือกมหาสมุทรใหม่จะเรียกว่าเป็น divergent plate boundary ตัวอย่างเช่น Mid-Atlantic Ridge ในมหาสมุทรแอตแลนติก ในขณะเดียวกันส่วนของเปลือกโลกที่ถูกทำลายเราจะเรียกส่วนนี้ว่า convergent plate boundary ซึ่งจะเป็นบริเวณที่มีการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาอย่างรุนแรงเนื่องจากเป็น แนวที่ plate ซ้อนทับกัน ตัวอย่างเช่นทวีปอเมริกาใต้ซึ่งอยู่บน South American Plate ซึ่งมีทิศทางการเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกจะอยู่ติดกันกับส่วนหนึ่ง ของมหาสมุทรแปซิฟิกที่อยู่บน Nazca Plate ซึ่งมีทิศทางการเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันออกดังนั้นจึงมีการดันกันของ plate โดยทวีปอเมริกาใต้ซึ่งลอยตัวอยู่ในชั้น lithosphere ซึ่งเป็นเปลือกโลกทวีปที่ค่อนข้างหนาและเบากว่าจะเกยเหนือ Nazca Plate โดยเปลือกโลกมหาสมุทรที่หนักกว่าของ Nazca Plate จะจมตัวลงเป็น subduction zone ซึ่งมีลักษณะเป็นหุบเหวลึก (trench) ขนานไปกับชายฝั่งด้านตะวันตกของทวีปอเมริกาใต้

ภาพที่ 2.9 ลักษณะการไหลเวียนของ convection current
ที่มา: Garrison (2007)

ส่วนของ plate ด้านล่างจะจมตัวลงไปนั้นจะค่อย ๆ มีความหนาแน่นเพิ่มมากเมื่อจมลึกลงไปมากขึ้น และส่วนบนที่มีความหนาแน่นน้อยรวมทั้งตะกอนต่าง ๆ ที่อยู่บนผิวหน้า plate จะหลอมละลายในชั้น Asthenosphere การที่ plate จมตัวนี้จะทำให้เกิดแผ่นดินไหวขึ้นและเปลือกโลกและตะกอนบนผิวหน้าที่หลอม ละลายทำให้เกิด magma, น้ำ และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งถ้าสะสมกันจนมีปริมาณมากเกินไปจะทำให้เกิดภูเขา ไฟระเบิดขึ้นตัวอย่างเช่นการระเบิดของภูเขาไฟบริเวณเทือกเขา Andes และแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในทวีปอเมริกาใต้ (ภาพที่ 2.10)

ภาพที่ 2.10 การชนกันของแผ่นเปลือกโลกมหาสมุทรและเปลือกโลกทวีปบริเวณทวีปอเมริกาใต้
ที่มา Garrison (2007)

ในกรณีที่การจมตัวลงของ plate ที่เป็นเปลือกโลกมหาสมุทรทั้งคู่นั้นเปลือกโลกอันหนึ่งจะเป็นเปลือกโลกที่มี อายุมากกว่าอีกอันหนึ่งซึ่งจะมีความหนาแน่นมากกว่า เมื่อเกิดการชนกันเปลือกโลกที่มีอายุมากกว่าจะจมตัวลงเนื่องมาจากผลของแรง โน้มถ่วงบริเวณที่เกิดการจมตัวลงนั้นจะเกิดเป็นหุบเหวลึก (trench) เปลือกโลกมหาสมุทรและตะกอนผิวหน้าที่หลอมละลายเป็น magma ในชั้น asthenosphere นั้นก็จะทำให้เกิดการระเบิดของภูเขาไปเช่นเดียวกันโดยภูเขาไฟบริเวณพื้น มหาสมุทรนั้น จะมีบางส่วนที่โผล่พ้นน้ำจะเรียงตัวเป็นหมู่เกาะรูปโค้ง (island arc) ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ทางเหนือและตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก นักธรณีวิทยาบางคนเชื่อว่าเปลือกโลกทวีปอาจมีสาเหตุเกิดจากหินลาวาที่เกิด จากการระเบิดของภูเขาไฟใต้น้ำในกรณีดังกล่าว (ภาพที่ 2.11)

ภาพที่ 2.11 การชนกันของเปลือกโลกในกรณีที่เป็นเปลือกโลกมหาสมุทรทั้งคู่ เปลือกโลกที่มีอายุมากกว่า (ซ้าย) จะจมตัวลง
ที่มา: Garrison (2007)

ถ้าพิจารณาถึงการชนกันของ plate ถ้า plate ทั้งสองเป็นเปลือกโลกทวีป ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการชนกันของ India-Australia Plate และ Eurasian Plate เมื่อประมาณ 45 ล้านปีที่แล้วทำให้เกิดเทือกเขาหิมาลัยขึ้น โดยด้านบนของเปลือกโลกทวีป จะเกยกันทำให้เกิดเป็นภูเขา ส่วนด้านล่างของ plate ทั้งสองจะจมตัวลงด้านล่างเหมือน ๆ กันจนเกิดราก (root) ที่ทำหน้าที่รับน้ำหนักภูเขาที่เกิดขึ้นตามหลัก isostacy (ภาพที่ 2.12)

ภาพ ที่ 2.12 การชนกันของเปลือกโลกในกรณีที่เปลือกโลกทั้งสองเป็นเปลือกโลกทวีปบริเวณตอน ใต้ของประเทศจีน ไม่มีเปลือกโลกด้านใดที่มีความหนาแน่นพอที่จะจมลงสู่ชั้น asthenosphere แรงดันอันเนื่องจากการชนทำให้เปลือกโลกดันตัวเป็นเทือกเขาหิมาลัย
ที่มา: Garrison (2007)

ส่วนของ plate ที่อยู่ชิดกันแต่มีแรงกระทำกันด้านข้างโดย ไม่มีการเกยกันเราจะเรียกลักษณะดังกล่าวว่า transform plate boundary แรงที่เกิดจากการเลื่อนนี้อาจเพียงพอที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหวขึ้นได้ซึ่งพบ มากทางด้านตะวันออก Pacific Plate ที่อยู่ติดกันกับ North American Plate จะมีรอยแยกที่เกิดจากการเลื่อนของ plate ที่สำคัญ ๆ เช่น California’s San Andreas Fault เป็นต้น (ภาพที่ 2.13)

ภาพที่ 2.13 Transform boundary
ที่มา: Garrison (2007)
การ อธิบายถึงปรากฏการณ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับทวีปและมหาสมุทรเป็นผลมาจากการศึกษาเรื่องราวของโลกในด้านต่าง ๆ เช่น การศึกษาสภาพของแม่เหล็กโบราณ (paleomagnetism) โดยอาศัยหลักการที่ว่าสภาพแม่เหล็กที่ประกอบอยู่ในหินจะวางตัวในแนวเดียวกัน กับสนามแม่เหล็กโลก เมื่อใช้เครื่องมือที่มีความไวสูงจะสามารถตรวจจับสนามแม่เหล็กที่ยังตก ค้างอยู่ในหินได้แม้ว่าเวลาจะผ่านไปหลายล้านปีหลังจากที่โลกเย็นตัวลง จากการศึกษาพบว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมาสนามแม่เหล็กโลกมีการเปลี่ยนแปลงหลาย ครั้ง ตำแหน่งขั้วเหนือใต้ของสนามแม่เหล็กโลกก็จะเปลี่ยนแปลงไปด้วย ทำให้เราทราบถึงลักษณะของเปลือกโลกทวีปและเปลือกโลกมหาสมุทรในช่วงเวลาที่ ผ่านมาได้

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น